เทพเจ้าตั่วเหล่าเอี๊ย (เจ้าพ่อเสือ)



ตำนานความเป็นมา
เทพเจ้าตั่วเหลาเอี๊ยมีประวัติความเป็นมาแบ่งเป็น 2 ตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาตามนี้
ตำนานที่หนึ่ง เทพเจ้าตั่วเหล่าเอี๊ย หรือองค์เทพ เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่
ในเทวปกรณัมของจีนได้กล่าวว่า เมื่อครั้งบรรพกาลล่วงมาแล้ว เมืองลกฮง กึงตัง ประเทศจีน มีชายหนุ่มผู้หนึ่งรูปร่างใหญ่กำยำทำอาชีพฆ่าหมูและวัวเพื่อส่งขาย คืนหนึ่งเกิดนิมิตเห็นนักพรตลัทธิเต๋ามาบอกให้เลิกฆ่าสัตว์ เพราะเขามิได้เกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้แต่เกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมี ควรหันมาบำเพ็ญธรรมจะประสบความสำเร็จ เมื่อตื่นเช้ามาชายหนุ่มผู้นั้นก็ได้เล่าเรื่องความฝันให้มารดาฟัง ซึ่งมารดาก็เห็นด้วยจึงตกลงยุติการฆ่าสัตว์และหันมาตั้งใจบำเพ็ญธรรมแทน เมื่อบำเพ็ญธรรมไปได้ 3-4 วัน นักพรตที่นิมิตฝันก็มาปรากฏกายให้เห็นที่บ้าน และถามหนุ่มผู้นั้นว่า เขาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะบำเพ็ญพรตให้สำเร็จหรือยัง หนุ่มผู้นั้นก็ตอบตกลงทันที และจัดการทรัพย์สินรวบรวมเป็นเงินก้อนหนึ่งไว้เลี้ยงดูมารดาผู้ชรา แล้วเก็บข้าวของออกเดินทางตามนักพรตผู้นั้นไปบำเพ็ญธรรม และด้วยความมุมานะในการบำเพ็ญธรรมแต่การบำเพ็ญธรรมก็ไม่ได้มีความก้าวหน้า ไม่ประสบผลแต่อย่างใด ศิษย์คนอื่นที่มาทีหลังต่างประสบความสำเร็จไปก่อนแล้ว ทำให้หนุ่มผู้นี้เกิดความเสียใจ ท้อใจ จนวันหนึ่งได้ถามท่านอาจารย์ว่า เขาจะมีวันสำเร็จธรรมได้หรือไม่ ท่านอาจารย์ก็ตอบว่า ตราบใดที่ภายในของเขายังมีสีดำอยู่ ก็อย่าถามถึงความสำเร็จเลย พอกลับไปถึงห้องพักชายหนุ่มก็ครุ่นคิดอย่างหนัก และข้องใจในคำพูดของท่านอาจารย์ที่ว่า ภายในของเขาเป็นสีดำนั้นมีความหมายว่าอย่างไร เพราะเขามีความตั้งใจหมั่นบำเพ็ญธรรมเพื่อความสำเร็จ ถ้าภายในเป็นอุปสรรคเขาก็จะยินดีพลีชีพเพื่อหวังว่าจะสำเร็จในธรรมนั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ไปคว้ามีดมาคว้านท้อง ลากไส้กระเพาะออกมา พอเครื่องในเหล่านั้นหลุดพ้นจากร่าง เขาก็รู้สึกตัวเบาและบรรลุธรรมในทันที เนื่องเพราะอาชีพที่เขาฆ่าสัตว์มามาก การเอาชีวิตมาแลกธรรม ก็เพื่อทดแทนบาปกรรมที่มาเป็นอุปสรรคขัดขวามการบำเพ็ญธรรมจะได้สำเร็จ เมื่อท่านอาจารย์ได้ทราบเรื่องก็รีบมาที่ห้องพักเข้าช่วยเหลือทันทีจนชายหนุ่มหายเป็นปกติ โดยท้องของชายหนุ่มก็ไม่ลำไส้กับกระเพาะ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตเพราะใช้ฌานสมาบัติแห่งธรรมหล่อเลี้ยงรักษาให้ชีวิตรอดอยู่ได้
เมื่อสำเร็จธรรมแล้ว นักพรตก็เห็นสมควรว่าให้ชายหนุ่มได้ลงจากเขาเพื่อไปโปรดผู้คน แต่ก่อนจากกันท่านอาจารย์ได้มองธงให้แก่ชายหนุ่มผืนหนึ่งเป็นสีขาว ชาวหนุ่มได้จัดเตรียมสัมภาระลงจากเขาและไม่นำลำไส้กับกระเพาะของเขาที่ตากแห้งไว้ลงมาด้วย ครั้นเดินทางมาถึงตีนเขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของหญิงสาวจึงรีบเข้าไปดู ก็พบหญิงท้องแก่ใกล้คลอด ชายหนุ่มได้บอกกับหญิงคนนั้นว่า เขาเป็นชายนักบวชไม่สามารถทำคลอดให้แก่หญิงผู้นั้นได้ จึงได้มอบธงสีขาวที่อาจารย์ให้มาแก่หญิงผู้นั้นเพื่อรองรับเด็กทารก หญิงคนนั้นก็คลอดทารกออกมาอย่างปลอดภัย เมื่อตัดสายสะดือเช็ดคราบเลือดแล้วก็อุ้มเด็กทารกน้อยไว้ในอ้อมกอก หญิงผู้นั้นได้ขอบใจชายหนุ่มและส่งธงที่เปื้อนเลือดคืนให้ ชายหนุ่มก็ได้นำธงไปซักที่ลำคลอง พอธงจุ่มลงไปน้ำในคลองก็พลันเปลี่ยนสีเป็นสีดำทันที รวมทั้งธงก็กลายเป็นสีดำด้วย โดยไม่ได้ระวังระหว่างที่ซักธงอยู่นั้นกระเพาะกับลำไส้ที่เก็บไว้ที่ชายพกก็ตกลงไปในน้ำ เขากลับคิดว่าก็ดีเหมือนกันไม่ต้องถือกลับไปให้เป็นภาระอีกต่อไป ชายหนุ่มก็เดินทางต่อไปโปรดผู้คนอยู่จนสิ้นอายุขัยก็จากมนุษย์โลกไปเสวยทิพย์สมบัติ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้จ้างแห่งสวรรค์ก็ได้ประทานยศให้เป็นผู้ตรวจการภพสาม ตำแหน่ง “เหี่ยง เทียน เสี่ยง ตี่” ผู้พิชิตมาร โดยมีธงเทพโองการดำเป็นอาญาสิทธิ์ ธงสีดำเป็นสัญลักษณ์ของท่าน เป็นธงบัญชาการของเจ้าหรือเทพพรหม มัลัญจกรอยู่ธง อาญาสิทธิ์เฉียบขาด ต่อมาเง็กเซียนฮ่องเต้มีพระบัญชาการให้ไปปราบสัตว์ประลาด 2 ตน พอพบกับสัตว์ประหลาดทั้งสอง เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่ก็ทราบโดยทันทีว่าเป็นกระเพาะและลำไส้ของตนที่เหล่าปีศาจร้ายเข้าไปสิงสถิตอยู่ กระเพาะกลายเป็น “เต่า” และลำไส้กลายเป็น “งู” ท่านจึงได้เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบเต่าและเท้าอีกข้างเหยียบงูไว้ ปีศาจทั้งสองจึงสิ้นฤทธิ์
ชาวบ้านให้ความศรัทธาจึงได้สร้างศาลเจ้าและรูปปั้นท่านขึ้นมาบูชาโดยใช้สัญลักษณ์เท้าเหยียบเต่า เหยียบงู และธงสีดำ โดยมี “เสือ” เป็นบริวารพาหนะ นี่คือตำนานแห่ง ตั่วเหล่าเอี๊ย หรือเฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่ เทพศักดิ์สิทฑิ์ประจำกลุ่มดาวด้านทิศเหนือ ผู้พิชิตมารในรูปลักษณ์ขุนพลเคราดำยาว เท้าเหยียบบนหลังงูและเต่าซึ่งถือเป็นสัตว์ประจำกาย มือขวาถือดาบชิดแชเกี่ยม มือซ้ายยกชี้อยู่ระดับหน้าอกไปยังท้องฟ้า อันแสดงถึงการบรรลุธรรมสำเร็จเต๋าที่มีผู้คนมากราบสักการะจนถึงทุกวันนี้

ตำนานที่สอง เทพเจ้าตั่วเหล่าเอี๊ย หรือองค์เทพเอี่ยงเทียนเสี่ยงตี่
เนื่องจากคนจีนนี้มีความเกี่ยวพันกับทิศหลายองค์ หนึ่งคือเทพเจ้าแห่ง 5 ขุนเขาใน 5 ทิศ คือ เหนือ ใต้ ออก ตก และทิศตรงกลาง และมีอีกหนึ่งที่คนมีวิชาเรื่องฮวงจุ้ยจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี นั่นคือเทพสัตว์ประจำทิศทั้งสี่ คือ
เซเล้ง หรือมังกรเขียว ประจำอยู่ทิศตะวันออก
แปะโฮ่ว หรือเสือขาว ประจำอยู่ทิศตะวันตก
จุเซียะ หรือนกเจ้า ประจำอยู่ทิศใต้
เฮี่ยงบู้ หรือคู่มิตรงูและเต่า ประจำอยู่ทิศเหนือ
เทพทิศเหนือ คือ เฮี่ยงบู้ เป็นที่นับถือของนักพรตเต๋า มีกำเนิดมาจากการอุบัติขึ้นเองบนสวรรค์ จากการรวมตัวของเทหวัตถุในจักรวาล เกิดเป็นเทพดวงดาวองค์หนึ่งที่ได้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคอึ้งตี่ โดยเป็นโอรสของ “เสียงเสียฮวงโฮ้ว” หมายถึงมเหสีเสียงเสียแห่งรัฐเจ็งลัก
จากตำนานการกำเนิดที่แปลกพิศดารตามแบบนิทานโบราณว่ามเหสีเสียงเสียทรงพระครรภ์นานถึง 14 เดือน ก็ประสูติพระโอรสออกมาทางซี่โครง ณ วันที่ 3 เดือน 3 ของจีน เมื่อเฮี่ยงบู้ อายุได้ 14 ปี ก็ได้ออกเดินทางจากวันไปเที่ยวชมเทศกาลโคมไฟ แล้วเกิดได้สัจธรรมว่า การเกิดเป็นคนนี้ช่างยากเย็นนัก ทำอย่างไรหนอจึงจะตัดกิเลสทางโลกได้ เฮี่ยงบู้จึงได้สละทางโลกไปปลีกวิเวกที่เขาบู๊ตึ๊ง ร่ำเรียนธรรมในแนวทางของเต๋า จนในที่สุดก็กลายเป็นเซียน แล้วได้รับราชโองการแต่งตั้งจากเง็กเซียนฮ่องเต้ให้เป็นเทพรักษาทางทิศเหนือ ได้นามว่า เฮี่ยงบู๊ หมายถึง กำลังลึกลับอัศจรรย์ เฮี่ยงบู๊มีรูปร่างสูงใหญ่ถึง 9 ฟุต และมีพักตร์กลมดั่งดวงจันทร์ คิ้ว ตามีอำนาจ ผมดำ มีเคราและร่างกายกำยำแข็งแรง ผิวกายดำ ทรงมงกฏหยก แต่ชุดทรงกลับเป็นหญ้า มีความเลื่องชื่อเรื่องการไล่ผี บางตำราบอกว่า เฮี่ยงบู้เป็นอีกภาคหนึ่งของเง็กเซียนฮ่องเต้
แต่ในบางท้องที่บางสมัยก็ไหว้ เฮี่ยงบู้ ในฐานะเป็นเทพแห่งดวงดาว จากที่คนโบราณได้แบ่งฟ้าเป็น 28 ช่อง หรือ 28 กลุ่มดาว ในสมัยจั่นกว๋อ ได้มีคนจัดแบ่ง 28 กลุ่มดาวใหม่เป็น 4 กลุ่มใหญ่ แล้วให้ชื่อเป็นสัตว์ 4 ชนิดคือ
มังกรเขียว สำหรับกลุ่มดาวทางทิศตะวันออก
เสือขาว สำหรับกลุ่มดาวทางทิศตะวันตก
นกเจ้า สำหรับกลุ่มดาวทางทิศใต้
เต่า สำหรับกลุ่มดาวทางทิศเหนือ
ต่อมาเต่าได้ถูกจับคู่กับงู แล้วกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำองค์ของเฮี่ยงบู้ ครั้นถึงสมัยของราชวงศ์ซ่งใต้ เฮี่ยงบู้ ถูกวาดภาพให้เป็นเทพผมยาว ทรงชุดใหญ่และถือดาบ
สมัยราชวงศ์เหม็ง ตามศาลเจ้านิยมสร้างองค์ เฮี่ยงบู้ ไว้บูชาโดยมีเต่างูเป็นคู่มิตรอยู่เคียงข้าง แล้วคนเกิดเชื่อถือกันว่าถ้าไหว้ท่านด้วยน้ำและไฟจะช่วยให้พ้นจากภัยพิบัติ
ในสมัยราชวงศ์เซ็ง ฮ่องเต้ได้มีราชโองการให้ไหว้ เฮี่ยงบู้ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ โดยมีความเชื่อส่วนพระองค์ว่า เฮี่ยงบู้เป็นผู้ดูแลโชคชะตาของคน พระองค์จึงไหว้เพื่อของพรให้พระองค์มีชีวิตยืนยาว
หลังจากสมัยต่าง ๆ เหล่านี้ เทพทิศเหนือ เฮี่ยงบู้ จึงเป็นเทพแห่งความโชคดี เป็นที่เคารพสักการะของคนจีนเรื่อยมา