หลันไฉ่เหอ

หลันไฉ่เหอ หรือเรียกอีกหนึ่งว่า น้าไช่ฮั้ว เป็นเซียนองค์ที่ห้าในบรรดาเซียนทั้งแปด เป็นเซียนแห่งมวลบุปชาติ และความอุดมสมบูรณ์ มีลักษณะเฉพาะคือ จะสวมเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งและสวมรองเท้าข้างเดียว ท่านเป็นเด็กหนุ่มที่มีอารมณ์ดีและมีใจเมตตา มีความสุภาพอ่อนโยนบางตำราก็ว่าท่านเป็นสตรีก็มี ของประจำกายของท่านคือ กระเช้าดอกไม้ ภายในกระเช้าบรรจุด้วยดอกไม้หลากหลายสีสันและเป็นดอกไม้วิเศษ คือ เป็นดอกไม้แห่งปัญญาและที่สำคัญดอกไม้เหล่านี้จะไม่มีวันเหี่ยวเฉา
ตามประวัติได้เล่าว่า หลันไฉ่เหอเกิดเป็นขอทานในปลายสมัยราชวงศ์ถัง มีรูปร่างสูงสี่ศอกซึ่งจัดว่าเป็นคนร่างเล็ก ว่ากันว่า ท่านเป็นเชียะคาใต้เซียนจุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนาสะสมบุญบารมีและทำประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ หลันไฉ่เหอจะเดินทางขอทานไปตามสถานที่ต่าง ๆ เสื้อผ้าที่ใส่ก็ขาดรุ่ยปะไว้จนไม่เหลือที่ดีหลงเหลืออยู่ สวมรองเท้าเพียงข้างเดียวที่ทำมาจากฟาง เที่ยวร้องเพลงขอทานไปเรื่อยโดยไม่ได้ทำมาหากินอย่างอื่น โดยเพลงที่นำมาร้องนั้นล้วนมีความหมายเกี่ยวกับธรรมะสอนใจผู้ฟังให้กระทำความดีจนเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟัง เครื่องดนตรีที่ใช้ก็มีเพียงกรับไม้เท่านั้น แต่มีความพิเศษตรงที่กรับนั้นมีความยาวถึงสี่คืบครึ่ง กว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือ หนาครึ่งองคุลี เนื้อกรับเป็นมันเงาแวววาวคล้ายเนื้อหยก เวลาขยับกรับจะมีเสียงดังกังวานน่าฟังยิ่งนัก และเมื่อของทานได้เงินมามากพอสมควรนอกจากจะนำไปกินเหล้าแล้วเงินส่วนหนึ่งก็แบ่งไปแจกจ่ายให้แก่คนชรา คนยากจนหรือขอทานเช่นเดียวกับท่าน หลันไฉ่เหอจะมีประพฤติกรรมที่แปลกประหลาดดูเหมือนคนบ้าอยู่อย่างหนึ่งด้วย คือ ในเวลาที่อากาศร้อนอบอ้าว ท่านจะสวมใส่เสื้อผ้าที่มีเนื้อหนามาก ซึ่งไม่ว่าแดงจะร้อนขนาดไหนท่านก็ไม่มีเหงือไหลออกมาเหมือนคนอื่นทั่วไป ส่วนในหน้าหนาวมีอากาศหนาวจัดขนาดมีหิมะตกท่านจะใส่เพียงเสื้อผ้าบาง ๆ แต่ในตัวท่านกลับมีไอน้ำร้อนพุ่งออกมาทาง ปาก จมูก ตา หู ทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนคนทั่วไปก็จะเห็นว่าหลันไฉ่เหอกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เสื้อผ้าที่เก่าอย่างไรก็จะเก่าอยู่เท่านั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้ผู้พบเห็นต่างรู้สึกถึงความแปลกอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก
ในครั้งที่หลันไฉ่เหอได้พบกับทีก๋วยลี้ในระหว่างทางที่เดินเร่ร่อนไปก็ได้สนทนากันอย่างถูกคอ ทีก๋วยลี้ได้พูดกับหลันไฉ่เหอว่า ไม่อยากให้หลันไฉ่เหอมีชีวิตที่เร่ร่อนอยู่แบบนี้ ควรใช้เวลาในการไปบำเพ็ญเพียรจะดีเสียกว่า และอีกสามปีจะกลับมารับไปเป็นเซียนด้วยกัน แต่ขอให้บำเพ็ญเพียรภาวนา ปฏิบัติธรรม รักษาศีล และได้มอบคัมภีย์เล่มหนึ่งแก่หลันไฉ่เหอไว้เพื่อศึกษาด้วย
มาวันหนึ่งขณะที่หลันไฉ่เหอนั่งดื่มสุราอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะดังมาจากเบื้องบน ชาวเมืองต่างก็ได้ยินเสียงเพลงนั้นเช่นกันจึงพากันออกไปดู และขณะที่ผู้คนมัวแต่แหงนมองฟ้าสนใจเสียงเพลงนั่นอยู่ หลันไฉเหอก็เดินออกมาจากร้านสุราแล้วโยนกรับเครื่องดนตรีประจำกายของตนเองขึ้นไปบนฟ้า แต่กรับนั้นกลับกลายร่างเป็นนกกระเรียนตัวใหญ่ หลันไฉ่เหอก็กระโดดขึ้นไปขี่หลังนกกระเรียนแล้วบินหายเข้ากลีบเมฆไป พร้อมกับเสียงเพลงอันไพเราะจากเบื้องบนก็หายไปด้วย สร้างความแปลกประหลาดใจแก่ผู้คนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อผู้คนได้สติกลับมาแล้วก็กลับไปดูภายในร้านก็พบแต่เสื่อผ้าและรองเท้าเก่า ๆ ของหลันไฉ่เหอวางกองอยู่ แต่เมื่อเดินไปดูใกล้ของเหล่านั้นกลับกลายเป็นหยกแล้วหายไป ทำให้ผู้คนต่างรับรู้ว่า หลันไฉ่เหอได้กลายเป็นเซียนแล้ว ผู้คนก็ก้มลงกราบไหว้ด้วยความเคารพ เนื่องจากเหล่าเซียนได้มารับหลันไฉ่เหอ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเซียนองค์ที่ห้าในบรรดาแปดเซียน